ตะกร้าสินค้า

ไม่พบสินค้าในรถเข็น

ปัญหาสุขภาพทั่วไป

หัวไม่แล่น

ให้เรตสมาชิก: 0 / 5

ดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งานดาวไม่ได้ใช้งาน
 

ไม่ใช่โรคคนแก่…แต่เป็นของหนุ่มสาววัยทำงาน เรื่องฮิตชาวออฟฟิศทั้งหลาย ประเภทเฉื่อยชา ไม่กล้าตัดสินใจ คิดไม่ออก บอกไม่ได้ว่าทำไมถึงไม่ทำ ! ผัดวันประกันพรุ่ง ขืนเซ้าซี้เร่งรัดจะพาลหงุดหงิด ฉุนเฉียว เครียด อารมณ์บ่จอย คอยแต่หย่อนสมรรถภาพ หากเข้าสอบ ก็สมองไม่แล่น กาแฟกี่แก้วก็ทำได้แค่ใจสั่นเสียเปล่า ระยะยาวพลอยให้ซึมเศร้า เข้าเพื่อนไม่ได้ พาลจะฆ่าตัวตาย… ดูเหมือนโรคสมัยใหม่… ของวัยทำงาน… office syndrome หรือ Fatigue syndrome

เบื้องต้นตามมาตรการคงต้องสำรวจสุขภาพพื้นฐาน อาหารครบ 5 หมู่อยู่รึเปล่า DHA น้ำมันปลา เพียงพอไหม โคลีนบี และเลซิทิน (จากถั่วเหลืองก็ดีนะ) กะแมกนีเซียมเป็นไง ได้สารต้านอนุมูลอิสระพอไม๊ ก็ในชีวิตยุคใหม่ โลหะหนัก และสารพิษทั้งหลายมีมาก และมาเร็วกว่าที่คาดว่าโรคสมองเสื่อมจะเป็นเฉพาะคนแก่อีกต่อไป ฯลฯ ตลอดจนภูมิชีวิต ออกกำลังกายรึเปล่า พักผ่อนเพียงพอ นอนหลับสนิท อากาศดีไหม !

เหนือจากนี้ก็มีรายงานถึงความบกพร่องของเซลล์ประสาท สารสื่อประสาท เช่น อะเซทิลโคลีน, โดปามีน, นอร์เอพิเนฟรินบกพร่อง ตลอดจนเซลล์สมองก้อนใหญ่ที่เรียก cerebrum ถูกทำลายหรือขาด Xenogenic peptide กระแสประสาท + ทางเดินของคำสั่งจากต่อมใต้สมองอาจติดขัด ไม่สู่จุดหมายปลายทาง จึงอาจถึงคราวซ่อมตั้งแต่ยังไม่แก่

ผู้เชี่ยวชาญทางชีวโมเลกุลแนะนำว่าให้ลองใช้ “heavy dose” คือ เซลล์สมอง กับต่อมใต้สมอง อย่างละ 3 เม็ด อมใต้ลิ้น (จะอมพร้อมกันหรือลำดับต่อกันก็ไม่น่าจะขัดข้อง) ร่วมกับกลืนอวัยวะรวม 1 เม็ดเป็นหลักใหญ่ แล้วสังเกตผล แบบจับเวลา พบว่าหลายรายได้ลุ้นเป็นที่น่าพอใจ หรือลองใช้กรณีนกเขาไม่ขัน กันสักที

แต่ประเภทเฉื่อยชาเป็นจริตติดตัวมา น่าจะเป็นกลุ่มยกเว้น คงไม่ใช่หายทุกราย 100% เอาเป็นว่าในคนปกติที่เคยสมองแล่น แล้วเกิดอาการมึนตึ๊บน่าจะทดลอง เพราะความเสี่ยงคือเสียเงินซื้อความหวัง ซึ่งน่าจะโอกาสมากกว่าถูกหวย ด้วยมีเหตุปัจจัยที่มาที่ไปพอเข้าเค้า

ข้อดีคืออันตรายอื่นๆ นอกจากควักกระเป๋าแล้ว ก็ไม่เห็นมีอะไรที่เกิดพิษภัย ไม่ขัดกับยาที่ใช้ประจำ เพราะเป็นเรื่องของเซลล์ซ่อมเซลล์ แต่ก็มีข้อพึงระวังประการเดียวคือ คนเป็นโรคชัก ห้ามใช้ต่อมใต้สมอง ดูเหมือนไปจุดประกายให้โลดแล่น อาการชักกำเริบได้ แม้ชีวโมเลกุลจะมิใช่ยากระตุ้นก็ตาม 

ข้อเด่นคือใช้ก่อนสอบ ไม่ถือเป็นยาโด๊ป ไม่ใช่สารกระตุ้น หรือเสพติด 

สำหรับโรคที่หาสมุหฐานได้ เช่น multiple sclerosis, myasthenia gravis, fibromyalgia กลุ่มภูมิเพี้ยน คงต้องแยกออกไปเพราะหายยาก แล้วต้องใช้อีกหลายปัจจัย แต่ก็ไม่ขัดข้องหากจะลองดู น่าจะพอใจต่อการได้เซลล์สมองเข้าไปซ่อม

เมื่อหายแล้วอาจบำรุงด้วยชีวโมเลกุลไปอีก 10–30 วัน ตามอัตภาพ ส่วนสารอาหารที่ไม่ควรขาดคือ พื้นฐานดังที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว อย่าลืมออกกำลังกาย และฝึกสมาธิ นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ 

แล้วทำไม ED (Erectile Dysfunction–นกเขาไม่ขัน) ก็ใช้ได้ด้วย…ก็สมองเป็นผู้บงการ ต่อมใต้สมองเปรียบเสมือนกัปตันทีมผู้สั่งการไปยังต่อมทั้งหลาย รวมถึงอัณฑะแลต่อมลูกหมากให้หลั่งฮอร์โมนเพศชายเทสโตสเตอโรน แต่ที่มิได้บอกให้ใช้เซลล์อัณฑะด้วย ก็เพราะเห็นว่าเป็นหนุ่มเป็นแน่น อวัยวะสืบพันธุ์น่าจะยังไหว ความบกพร่องก็น่าจะอยู่ที่ ใจไม่สู้ชูสองนิ้วนั่นปะไร ! ก็สมองเกี่ยวข้องกับใจอยู่ในตัว 

จึงนับเป็นอีกหลักสูตรเร่งด่วน เวลาเจอะเจอ...โอ...เด็ด ! นี่ยังไม่นับ หน่วยสนับสนุนที่จะยกมาว่าต่อไป เช่น สารอาหาร อาร์จินีน…แหล่งไนตริกออกไซด์…ตัวการขยายหลอดเลือด (อ่านได้ในเรื่องอาร์จินีน) 

ยังงี้แล้ว “หัวจะไม่แล่น” ได้ไง 

แต่ก็ “ห้ามรับรอง 100%” อยู่ดี 

อาจมีการตั้งข้อสังเกตทั้งกรณีเสริมอาการชัก และกระตุ้นสมองว่าเซลล์ต่อมใต้สมอง เป็นสารกระตุ้น แต่ไม่ใช่…คงพออธิบายได้ว่า การอมใต้ลิ้นดูดซึมชีวโมเลกุลเปปไทด์ ให้ไปซ่อมต่อมใต้สมองได้เร็วทันใจ ทำให้ผลิตฮอร์โมน (ตัวกระตุ้น) ส่งไปสู่อวัยวะเป้าหมายได้โดยเร็ว จึงเปรียบเสมือนใช้ยากระตุ้นโดยตรงนั่นเอง 

คนที่นอนหลับยากอาจต้องเลี่ยงการใช้ต่อมใต้สมอง (กรณีต้องการบำรุงตัวกระตุ้น) ก่อนนอน โดยใช้ช่วงเช้า กลางวันแทนในกรณีตรงข้าม อาการนอนไม่หลับในผู้สูงอายุ อาจเพราะกรน ทำให้หายใจติดขัด หากอาการมากอาจเกิดอาการ “sleep apnea” แบบว่า “จึ๊กตื่นๆ” ทำให้ร่างกายพักผ่อนได้ไม่เพียงพอ ก็หงุดหงิด อ่อนเพลีย เสื่อมเสียสมรรถภาพ ในกรณีเช่นนี้ แทนที่จะเน้นต่อมใต้สมอง ก็ใช้ต่อมไพเนียล บวกเซลล์สมอง อาจเพิ่มเซลล์กล้ามเนื้อ และหมวกไต อย่างละวันละ 1x3 กับอวัยวะรวม 1x1 สัก 10 – 30 วัน โดยอาหารพื้นฐานก็เช่นเดียวกับกรณีหัวไม่แล่น เช่น น้ำมันปลา แมกนีเซียม โคลีนวิตามินบี ถั่วเหลือง ออกกำลังกายพอเหมาะในช่วงเช้าหรือบ่าย …ไม่ใช่ใกล้จะนอน 

อาหารสมอง เคยเชื่อว่าเซลล์สมองไม่มีการสร้างเพิ่มขึ้น…แต่ความรู้ปัจจุบันบอกว่า…ตรงข้าม…นอกจากผลได้จากการใช้สมองมากแล้ว ยังมีการสร้างเซลล์สมองใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ ประสบการณ์และโภชนาการมีผลต่อจำนวนประสาทและการเชื่อมต่อในสมอง แน่นอน อาหารพื้นฐานในการเจริญเติบโตของเซลล์สมองได้แก่ วิตามินบีที่เพียงพอ ได้แก่ กรดโฟลิก บี3 + บี6 + บี12 

ส่วนอาหารที่จำเป็นต่อการสร้าง DNA คือวิตามินซี สังกะสี ซีลีเนียม และกรดอะมิโนต่างๆ ที่เข้าใจง่ายตรงประเด็นคือ เปปไทด์เซลล์ซ่อมเซลล์ เช่น เซลล์สมอง เป็นต้น 

ในขณะที่ความเครียดในช่วงทารก จะไปรบกวนการสร้างเซลล์สมองใหม่ และทำให้สมองมีขนาดเล็ก ในทางกลับกัน ประสบการณ์ชีวิตที่ทำให้รู้สึกมีความมั่นคง จะไปกระตุ้นการสร้างเซลล์สมอง 

อารมณ์ด้านลบ ความกดดัน สัมพันธภาพที่เลวร้าย จะไปลดการสร้างระบบประสาทใหม่ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะซึมเศร้า และวิตกกังวล 

สิ่งที่แปลกใหม่ เช่น การเดินทางไปในที่ใหม่ๆ การมีความคิดสร้างสรรค์ หรือสนุกสนานกับการสร้างสรรค์ของบุคคลอื่น ตลอดจนการออกกำลังกายจะทำให้เกิดการสร้าง และรักษาประสาทขึ้นมาใหม่ จึงสนับสนุนความสัมพันธ์ของความคิดกับร่างกาย (กายกับใจ) 

ส่วนอาการอ่อนเพลียเรื้อรังที่หาสาเหตุโรคได้ไม่ชัดเจน เช่น ขาดไทรอยด์ฮอร์โมน โรคของเยื่อหุ้มเส้นประสาท โรคของกล้ามเนื้อ กลุ่มอาการภูมิเพี้ยน อาจแก้ไขได้ดังนี้

  1. ออกกำลังกายพอเหมาะ (60% MHR เป็นเวลา 30 นาทีขึ้นไป) โดยให้ห่างเวลาเข้านอน 2 ชั่วโมงขึ้นไป การออกกำลังกายจะเพิ่มการไหลเวียนโลหิต นำออกซิเจนเข้าสู่สมอง เพราะการออกกำลังกายทำให้เกิดการเพิ่มอัตราเผาผลาญขณะนั้น และตกค้างไปได้ตลอดวัน ทำให้กระฉับกระเฉง และรู้สึกสบายอารมณ์เสมือนพักผ่อน จากเอนดอร์ฟินส์ฮอร์โมนที่หลั่งจากการออกกำลังกาย แล้วยังทำให้นอนหลับดีขึ้นด้วย ผลการนอนหลับได้ยาวและลงลึก ทำให้ร่างกายได้รับการพักผ่อนเพียงพอ จึงตื่นด้วยความสดชื่น
  2. ลดไขมันเลว เพิ่มไขมันที่ดีได้แก่ โอเมก้า3 จากปลา
  3. เลิกแอลกอฮอล์ จากการที่แอลกอฮอล์ไปกดระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย และทำให้ทางเดินหายใจถูกอุดกั้นได้ง่าย
  4. แมกนีเซียม เลซิทิน โคลีน วิตามินบี6 DHA และสารต้านอนุมูลอิสระ ตลอดจนแปะก๊วยสกัด เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างเซลล์ และสื่อประสาท
  5. ควบคุมความเครียด เพื่อป้องกันศูนย์ความจำของสมองไม่ให้ถูกทำลาย…วิธีปฏิบัติที่ดีคือ ทำสมาธิ
  6. Phosphatidylserine – PS เป็นฟอสโฟไลปิด หรือไขมันที่มีกลุ่มฟอสเฟตติดอยู่ด้วย เป็นส่วนสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ ซึ่งดูแลรักษาส่วนประกอบภายในเซลล์ไว้ เพิ่มการทำงานของ neuron เมื่อ neuron และเยื่อหุ้มเซลล์ดี ก็มีผลทำให้ความคิดความอ่านดีขึ้น

 

เกร็ดความรู้

อยากให้สมองแล่น ทำอย่างไร นอกจากสูตรเซลล์ซ่อมสมองเร่งด่วนแล้ว ยังมี…มีหลักพื้นฐานว่า PS อาจช่วยลดความเครียด ลดฮอร์โมนก่อความเครียดลง ทำให้อารมณ์เย็นลงด้วย

  1. ทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง ล่วงหน้า 15 นาที กลูโคสเป็นสิ่งจำเป็นต่อสมอง แต่ไม่ควรทานเป็นประจำ หรือมากเกินโดยขาดการออกกำลังกาย ก็เบาหวานจะเล่นงานน่ะซิ !
  2. กาแฟร่วมกับแซนด์วิชทูน่า เพื่อช่วยชะลอฤทธิ์กาแฟที่กระตุ้นสมองทำให้ใจสั่นงุนงง หากใช้กาแฟอย่างเดียว ยกเว้นผู้เป็นโรคความดันสูง…งั้นรวมกับข้อแรกก็เป็นกาแฟใส่น้ำตาลหวานๆ หน่อย แกล้มแซนด์วิชทูน่า
  3. แอลกอฮอล์น้อยๆ ช่วยสกัดความเศร้า แต่หากมากไป หรือมากเป็นประจำกลับทำให้สมองเสื่อม…คงต้องจัดคนละเวลากับกาแฟ
  4. น้ำมันมะพร้าวชนิด VCO สัก 1 – 2 ช้อนโต๊ะก็ไม่เลวนะ…แต่ก็อย่ามากเกิน !
  5. เติมสารอาหารที่อาจขาดไปในชีวิตประจำวัน เช่น แอนตี้ออกซิแดนท์ โคลีนวิตามินบี โฟเลทจากนมถั่วเหลือง น้ำมันปลา เบต้ากลูแคน

EasyCookieInfo